![](https://professkin.com/wp-content/uploads/2022/10/woman-s-face-into-shield-makes-spf-protection-from-ray-1200x800.jpg)
มารู้จักค่า SPF กันก่อน
SPF (Sun Protection Factor) ค่าประสิทธิภาพในการป้องกันผิวจากรังสี UVB รังสีที่ทำให้ผิวไหม้
SPF 20 ป้องกัน UVB ได้ 95%
SPF 30 ป้องกัน UVB ได้ 97%
SPF 50 ป้องกัน UVB ได้ 98%
จะเห็นได้ว่าค่า SPF ที่มากขึ้นเท่าตัว ไม่ได้ทำให้ปกป้อง UVB ได้มากขึ้นเท่าตัว และค่า SPF มากกว่า 50 ก็ไม่ได้การันตีว่าจะปกป้อง UVB ได้ดีกว่า และอย่าลืมว่าไม่มีครีมกันแดดใดป้องกันรังสี UV ได้ 100%
ต่อมาเรามาพิจารณาในแง่ระยะเวลาในการป้องกันผิวไหม้แดด โดยคำนวณจากที่ผิวเราสามารถอยู่กลางแสงแดดได้นาน 10 นาที จึงจะเกิดอาการไหม้แดง
SPF 30 ป้องกันผิวไหม้แดดได้นาน 5 ชั่วโมง
SPF 50 ป้องกันผิวไหม้แดดได้นาน 8 ชั่วโมง
SPF 100 ป้องกันผิวไหม้แดดได้นาน 16 ชั่วโมง
ทั้งนี้ถ้าผิวเราสามารถทนแสงแดดได้นานกว่านี้ เมื่อใช้ครีมกันแดดจะช่วยเพิ่มระยะเวลาในป้องกันผิวไหม้แดดได้มากกว่านี้ เช่น ผิวสามารถทนแสงแดดได้นาน 15 นาที จึงเกิดอาการไหม้แดง เมื่อใช้ครีมกันแดด SPF 50 จะช่วยป้องกันผิวไหม้แดดได้นานมากขึ้นถึง 13 ชั่วโมง
ทั้งนี้แนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดในช่วง 9.00-15.00 น. เพราะแสงแดดจะทำลายผิวได้มากที่สุด ดังนั้นการใช้กันแดด SPF มากกว่า 100 ไม่ใช่สิ่งจำเป็น
จาก 2 เหตุผลข้างต้น อย.ไทย จึงกำหนดฉลากผลิตภัณฑ์กันแดดให้ระบุ SPF50+ เท่านั้น ไม่สามารถระบุค่า SPF มากกว่านี้ได้
ดังนั้นโดยสรุปควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF ในช่วง 30-50+ ขึ้นกับระยะเวลาในการทำกิจกรรมในแต่ละวัน
SPF 30 เหมาะสำหรับคนที่มีกิจกรรมนอกบ้านไม่เยอะ ส่วน SPF 50+ เหมาะสำหรับคนที่มีกิจกรรมนอกบ้านเยอะ แต่ทั้งนี้ถึงอยู่ในบ้านก็สัมผัสรังสียูวีได้เช่นเดียวกันค่ะ ดังนั้นเพื่อความครอบคลุมในทุกกิจกรรมอาจเลือกใช้ SPF 50+ ไปเลย และถ้าระหว่างวันมีเหงื่อออกหรือโดนน้ำควรมีการทาซ้ำค่ะ
เอกสารอ้างอิง: https://www.psu.edu/news/research/story/probing-question-what-does-spf-rating-sunscreen-mean/
Image by Anastasia Kazakova on Freepik